ทริปฟรีไดฟ์ สน็อกเกิ้ล Fundive อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา

839 กิโลเมตร เช็คระยะทาง จากบ้านถึง ท่าเรือหัวหิน ที่ๆเราจะไปขึ้นแพขนานยนต์ข้ามไปยังท่าเรือคลองหมาก เกาะลันตาน้อย และจากท่าเรือ ไปยังที่พักของเรา ระยะทางอีก 25 กิโลเมตร รวมเบ็ดเสร็จ ระยะทางเกือบ 900 กิโล ใช้เวลาเดินทาง ทางรถ+แพ รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ไม่รวมเวลาแวะกิน แวะห้องน้ำ ฯลฯ แค่คิดก็ท้อ เริ่มขี้เกียจแล้ว แต่ด้วยความอยากดำน้ำฟรีไดฟ์ คิดถึงทะเลใจจะขาด ไกลแค่ไหนก็จะไป อ้าวแล้วทำไม ไม่นั่งเครื่องบินไปล่ะ เร็ว สบายกว่าเยอะ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ชอบนั่งเครื่องบิน จะนั่งเฉพาะจำเป็นไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะ เหตุผลเรื่องลักษณะโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมการบิน ลองนึกภาพตามนะครับ ทุกสายการบินต้องขายตั๋วให้ถูกที่สุด เพื่อแข่งขันกัน เครื่องบินต้องใช้เวลาอยู่บนฟ้าให้นานที่สุด จะได้ทำเงินได้เยอะที่สุด การขายตั๋วให้ถูกที่สุด ย่อมต้องลดต้นทุนมากสุด ใช้เครื่องบินให้นานให้คุ้มที่สุด หรืออาจซื้อเครื่องมือสอง มือสาม การที่ต้องให้เครื่องบินอยู่บนฟ้านานที่สุด ต้องลดเวลาการซ่อมบำรุง ตรวจสอบ ดูแลเครื่องบิน ให้ใช้เวลาน้อยที่สุด รีบๆดู รีบๆเช็ค แล้วส่งขึ้นฟ้าไปบินต่อ คล้ายๆพวกรถแข่ง ฟังดูแล้ว ไม่น่าเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยเลย ใช่มั้ยครับ

นอกเรื่องไปไกล กลับมาที่ทริปของเราดีกว่า ปกติ ทุกๆปิดเทอม ผมจะพาครอบครัวไปเที่ยว ต่างจังหวัดเสมอ ไม่ว่าจะขึ้นเหนือ ล่องใต้ หลังๆ ตั้งแต่เด็กๆไปเรียนฟรีไดฟ์กันมาแล้ว ทริปเลยหนักไปทางทะเลมากกว่า ปิดเทอมนี้เราวางแผนไป อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตากัน เกาะนี้ผมได้ยินชื่อมานานแล้ว แต่ไม่เคยอยู่ในสายตา เพราะผมรู้ว่าตัวเกาะลันตาเองไม่มีแนวปะการัง และได้ยินมาว่าน้ำก็ไม่ใสนัก ทรายก็สู้พวกสิมิลัน ภูเก็ตไม่ได้ โดยสรุปคือไม่มีอะไรเด่น แล้วจะไปทำไมล่ะ? แต่ไม่กี่ปีหลังมานี้ ผมเห็นรูปใน FB ของ Freediver คนหนึ่งที่ชื่อว่า บักสน และเพิ่งรู้ว่าที่เกาะลันตา มีดงปะการังอ่อน ดงกัลปังหาพัด (Seafan) ซึ่งโดยปกติเราจะไม่เห็นกัลปังหา และปะการังอ่อนในที่ตื้น พวกเค้าจะอยู่แถวๆ ความลึก 10 เมตรขึ้นไป มีแค่เพียงไม่กี่ที่เท่านั้น ที่จะเห็นพวกเค้าในที่ตื้น เช่น เกาะเชือก ทะเลตรัง ร่องจาบัง เกาะผึ้ง แถวเกาะหลีเป๊ะ ด้วยความอยากเห็นดงปะการังอ่อน และ ซีแฟน เราเลยจองโรงแรม เรือ วางแผนจัดทริปกัน

ล้อหมุนออกจากกรุงเทพ ประมาณ 11 โมง หลังจากที่ลูกชายคนที่สองตัวแสบ ไปรายงานตัวเข้า ม.1 ที่ โรงเรียนสาธิต มศว. พวกเราก็ออกเดินทาง มีตัวผม แฟน ลูก 3 ตัว เซน ซัน แซนด์ และ คุณแม่วัย 75 ที่ยังฟิต ขึ้นภูกระดึงได้ ไปเที่ยวด้วยกัน ขาไป เราวางแผนแวะชุมพรกัน พวกเราถึงชุมพรเย็นๆ แวะทานข้าว เข้าโรงแรม และก็นอน วันรุ่งขึัน ออกเดินทางต่อสายๆ ระหว่างทาง ก่อนถึงท่าเรือหัวหิน พวกเราแวะหมู่บ้านโคกยูง ดูชาวบ้านเลี้ยงและเก็บน้ำผึ้งชันโรง พอถึงท่าเรือ รอแพขนานยนต์พาข้ามไปเกาะลันตาน้อย ขับรถข้ามสะพานสิริลันตา แวะทานข้าวเย็น ขับต่อถึงโรงแรม กว่าจะถึง แค่พิมพ์ยังเหนื่อยเลย

พูดถึงโรงแรมสักเล็กน้อย เราพักที่ ศรีลันตา หาดคลองนิน เราเลือกพักห้องที่ใกล้ชายหาด เวลาไปชายหาด ต้องเดินลอดอุโมงค์ แปลกๆ ดีเหมือนจะไปขึ้น MRT ห้องพักมีขนาดใหญ่ กว้างขวาง มีโซฟาเบด มีอ่างอาบน้ำ มี Bath Foam ให้ด้วย ซึ่งน้องแซนด์ ชอบมาก นอนแช่อ่างทุกวัน เมื่อเทียบกับราคา พันกว่าบาทแล้ว ถือว่า ห้องโอเคเลย ตินิดเดียว คือห้องอยู่บนเนินเขา เดินขึ้นๆลงๆ เมื่อยมาก

ซีแฟนหลากสีสัน

วันแรกที่อยู่บนเกาะ เราไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อุทยานฯกัน ส่วนตัวแล้ว เฉยๆ ทางเดินค่อนข้างลำบาก เหนื่อย และลื่น เพราะเป็นดินทราย เดินยากพอสมควร และวิวก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น ข้ามมาวันที่สองเลยดีกว่า เรานัดคนเรือไว้เวลา เก้าโมงเช้า นัดที่หาดบริเวณข้างๆร้านชื่อ Sea Sand Soul หาดตรงนี้บรรยากาศดี เงียบสงบ ทรายขาว ละเอียด น่านั่งเล่นทีเดียว คนเรือชื่อ เคน พาเราไปดำน้ำที่จุดแรก Seafan Garden น้ำมีกระแสพอสมควร แม้จะเป็นช่วงน้ำตาย อ้อ ลืมเล่าไปนิดนึง จุดดำน้ำอย่าง Seafan Garden และ Pink Rock ที่เราจะมาดำกันเพื่อชมกัลปังหาและปะการังอ่อน จะมีกระแสน้ำแรง จากที่ผมสังเกต ถ้าพวกเค้าอยู่ตรงที่ตื้น กระแสน้ำจะแรง ปกติน้ำจะแรงมาก เที่ยวไม่ได้ เราจะเที่ยวได้เฉพาะช่วงน้ำตาย แค่ใกล้แรม 8 ค่ำ หรือขึ้น 8 ค่ำเท่านั้น เดือนๆนึงจะเที่ยวได้แค่ 6 วันเท่านั้น ก่อนวางแผนมาเที่ยว เช็คเรื่องวันกับพี่ชาวเลก่อนนะครับ 

Seafan Garden

พวกเรากระโดดลงน้ำกัน ที่จุดนี้น้ำมีกระแสนิดหน่อย ถ้าใส่ฟินก็ว่ายได้ไม่เหนื่อยมาก พอหน้าจุ่มน้ำ โอ้โห้ ดงกัลปังหาพัด ซีแฟน เยอะแยะ ขึ้นแน่นกันไปหมด หลากสีสัน สีสดมากๆด้วย ไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีส้ม สีชมพู สีเหลือง จุดนี้น้ำตื้นแค่ 1-3 เมตร ไม่ต้องมุดน้ำ ฟรีไดฟ์ สน็อกเกิ้ล ก็เห็นสบาย นอกจากกัลปังหาแล้ว ยังมีแส้ทะเล ดอกไม้ทะเล และปลาการ์ตูนส้มขาว ด้วย เราใช้เวลากับจุดนี้ประมาณ 30-40 นาที ก็ย้ายไปจุดถัดไป

 

ปะการังอ่อนสีชมพู

Pink Rock และ Nemo’s house

จุดที่สอง เรามาดำกันต่อที่ Pink Rock จุดนี้ลึกกว่า Seafan Garden น่าจะลึก 2-4 เมตร แต่น้ำขุ่น มองไม่ค่อยเห็น เห็นแค่ลางๆ ถ้าอยากเห็นชัดต้องมุดน้ำลงไปดู ผมและลูกชาย 2 คน ที่ฟรีไดฟ์ได้มุดลงไปดูกัน พอดูใกล้ๆแล้ว สีสันต์สดใส สวยงามมากๆเลย ดงปะการังอ่อนขึ้นแน่นหนา ส่วนมากจะเป็นสีชมพู มีสือื่นประปราย ที่จุดนี้มีแตนทะเลเยอะ รู้สึกแสบๆคันๆระหว่างดำน้ำ เลยอยู่ได้ไม่นานนัก เราย้ายกันมาที่จุดสุดท้ายของทริปวันนี้ที่ Nemo’s house ลูกสาวชอบปลาการ์ตูนส้มขาว หรือ นีโม่ มากลงไปดำดู ตามหา นับมาได้ทั้งหมดประมาณ 5-6 กอ ที่มีนีโม่ มีทั้งตัวใหญ่ประมาณ 5 ซม จึงถึงตัวลูกเล็กจิ๋ว ขนาดแค่ปลายนิ้วก้อย ที่จุดนี้ น้ำตื้น ใส และไม่มีกระแส เหมาะแก่การลอยตัวดูอะไรไปเรื่อย แต่ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ น้องแซนด์บอกว่าชอบที่นี่ที่สุด นับนีโม่ได้รวมๆ ประมาณ 20 ตัว

จบทริป ประมาณ 11 โมงกว่าๆ จริงๆอยากอยู่นานกว่านี้ โดยเฉพาะตรง Pink Rock ลูกชายคนโต น้องเซนชอบมาก แต่ว่า แตนทะเล แมงกะพรุน ค่อนข้างเยอะ แสบๆ คันๆ เลยขึ้นเรือดีกว่า ถึงฝั่ง เราล้างเนื้อล้างตัวกัน คนเรือ คุณเคน แนะนำ ร้าน “ลานตาซีฟู้ด” เห็นว่าเป็นร้านเก่าแก่ เวลาทานข้าว บ้านเรามีกฎ 1 คน 1 เมนู เซนคนโตสั่ง หอยตลับผัดโหระพา เจ้าซัน ตัวแสบ มื้อก่อนที่ชุมพร ถล่มกุ้งลายเสือ โลละ 1200 ไปไม่พอ มื้อนี้จะสั่ง กุ้งมังกรเจ็ดสีอี๊ก นี่กะจะให้ล้มละลายกันเลยใช่มั้ยย ซันอยากให้ทำย่างเนย น้องแซนด์อยากกินกุ้งมังกรด้วย แต่อยากกินซาชิมิ หัวจะปวดอีกแล้ว สรุป ครึ่งตัวย่างเนย ครึ่งตัว ซาชิมิ ที่เหลือ คุณแม่สั่ง แกงเหลืองปลาเก๋า แฟนสั่งหอยชักตีน ส่วนผมสั่งเบียร์ แก้ปวดหัว มื้อนี้ถูกปากที่สุด ตั้งแต่ทานบนเกาะมา อาหารส่วนมากเหมือนปรับให้เข้ากับลูกค้าฝรั่ง ไม่ค่อยถูกปากสักร้าน

ปลาการ์ตูนส้มขาว นีโม่

วันที่สาม เรามีทริปเต็มวันที่ เกาะบิดะ หินบิดะ และเกาะหมา วันนี้เราเดินทางกับ ชาวเล อุรักลาโว้ย ผมเคยเที่ยวทะเลแถวหลีเป๊ะกับชาวเล อุรักลาโว้ยแล้วประทับใจ พี่คนนั้นใจดี น่ารักมาก เลยติดใจอยากเที่ยวกับพี่ชาวเลอีก สามารถติดต่อ พี่ๆชาวเลได้ที่ Wheretogolanta  พี่ชาวเลมากัน 2 คน พี่คิง และพี่นน พี่คิงคอยพาเราดำน้ำ ถ่ายรูป ดูแลเรา ส่วนพี่นน ขับเรือ และสอนลูกคนโต งมหอย เรานัดเจอกันที่หาดบริเวณเดิม ออกเดินทางไปเกาะบิดะกัน เกาะบิดะ อยู่ไกลฝั่งค่อนข้างมาก ใช้เวลาเดินทาง เกือบ 2 ชั่วโมง ระหว่างทาง คุณคิง ก็เล่าให้ฟัง เรื่องราวต่างๆ การวางลอบหมึกโวยวาย การย้ายถิ่นฐานจากเกาะอาจิ มายังเกาะลันตา รวมถึงเรื่องราวที่ บักสนช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวเกาะลันตา ทำให้คนไทยมาเที่ยวลันตาเยอะขึ้นมาก โดยบักสนช่วยโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน คุณคิงพูดประโยคนึงที่ผมเห็นด้วยและชอบมาก คือ คนดีๆมักเจอแต่สิ่งดีๆ เชื่อเหลือเกินว่า บักสนจะได้พบเจอแต่คนดีๆและเรื่องดีๆ 

กว่าเราจะมาถึงเกาะบิดะ น้องแซนด์ หลับๆตื่นๆไปหลายรอบ ที่เกาะบิดะ คุณคิง ชี้ให้ดูนกทะเลขนาดใหญ่ นกโจรสลัด เห็นว่าเป็นนกหายาก มีเฉพาะที่เกาะบิดะ ผมก็เพิ่งเคยเห็นนกโจรสลัดครั้งแรกเหมือนกัน เกาะบิดะ น้ำใสแจ๋ว และมีชื่อเสียงเรื่อง ฉลามครีบดำชุกชุม

เกาะบิดะ

เกาะบิดะ

เซนและซัน รีบลงเรือไปตามหาฉลามก่อนใคร เรารู้แล้วว่า ถ้าอยากเจอฉลาม ต้องไปกันเงียบๆ และมองออกไปไกลๆ อย่าก้มหน้ามองแต่พื้น ฉลามยังมีสีที่กลืนไปกับน้ำทะเล และสิ่งแวดล้อม จะสังเกตค่อนข้างยาก ต้องดูดีๆ เด็กๆลงไปไม่นาน ก็โวยวายเรียกกันดูฉลาม เห็นกันอยู่หลายตัว 4-5 ตัว มีขนาดไม่ใหญ่มากประมาณ เกือบๆเมตร เท่าที่เคยไปดำน้ำมาหลายที่ นอกจากเกาะสต๊อก หมู่เกาะสุรินทร์ ก็คงมีเกาะบิดะนี่แหล่ะที่เห็นฉลามได้ง่ายขนาดนี้ พวกเราดำเล่นแถวนี้พักใหญ่ ที่เด่นมากอีกอย่าง คือ ดาวทะเล มีเยอะมาก สารพัดสี ที่เห็นมากสุด น่าจะเป็นสีม่วง มีปลาการ์ตูน หมึกกระดอง ปลาโนรีครีบยาว ปลาขี้ตังเป็ดฟ้า ผีเสื้อคอขาว ปะการังแถวนี้ ไม่ค่อยเยอะ เด็กๆ ฟรีไดฟ์ ลงไปนั่งเล่นที่ผาหิน ความลึก 8-10 เมตร กำชับเด็กๆ ว่าอยากลงลึกเกิน 10 เมตรนะ เราไม่ได้มา depth training เรามา Fun dive กัน เสร็จจากจุดนี้เรามุ่งหน้าไปต่อกันที่ หินบิดะ

ฉลามครีบดำ เกาะบิดะ

หินบิดะ เกาะหมา

ปะการังอ่อนสีม่วง หินบิดะ

เรานั่งเรือต่อมาอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็นั่งทานข้าวกลางวัน กัน หินบิดะ เป็นกองหินเล็กๆกลางทะเล คลื่นลมจึงค่อนข้างแรง เพราะไม่มีตัวเกาะ คอยบังลม บังคลื่นให้ ที่นี่ปะการัง สมบูรณ์ มีทั้งปะการังแข็งและปะการังอ่อน ส่วนมากจะเป็นปะการังแข็ง มีปะการังอ่อนกอนึงอยู่ลึกแต่ 3-4 เมตร สีม่วง สวยมาก พวกเราเลยดำผุดดำว่าย ถ่ายรูปกันใหญ่ แฟนที่ไม่เคยเรียนฟรีไดฟ์ ก็อยากลองดำลงดูบ้าง ดำลงไปได้ 2 เมตรได้ สงสัย กลับไปต้องพาไปสอนแล้ว จุดนี้ที่ โดดเด่นมากคือ ฝูงปลา ปลามากมายมหาศาลมาก เป็นพัน เป็นหมื่นตัว ไม่เคยเจอฝูงปลาใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทั้งปลาข้างเหลือง กะพงลายพาด กะพงข้างปาน โนรีหน้าหัก ปลาสากยักษ์ เซนดำลงไปถ่ายกับฝูงปลา ให้พี่คิงถ่ายให้ แต่เซนมีปัญหาเคลียร์หู ออกแค่ข้างเดียว เลยดำลงได้ไม่ลึก ผมดำลงไปบ้างให้พี่คิงถ่าย ปลาเยอะมากกก น้ำก็ใสแจ๋ว ใสขนาดลึก 15 เมตรยังเห็นพื้นชัดอยู่เลย คิดว่าได้รูปถ่ายอย่างสวยกับฝูงปลาแน่ๆ พอกลับมาถึงฝั่งเปิดดูภาพ อยากกจะร้องไห้ ภาพมัวหมดเลย น่าจะเป็นเพราะฝ้าขึ้นที่เคสกันน้ำ แง

ถ่า่ยกับฝูงปลา หินบิดะ

นอกจากฝูงปลาแล้ว เด็กๆ อยากเจอ ฉลามเสือดาว (Leopard shark) เจ้าถิ่นหินบิดะ เห็นว่าเจอตัวบ่อย เราตามหากันอยู่นานก็ไม่เจอ คุณคิงบอกว่า มันมักนอนเล่นบนพื้นแถวๆความลึก 12-15 เมตร สุดท้ายแม้ไม่เจอ ฉลามเสือดาว พวกเราก็ประทับใจจุดนี้มาก

เรามาแวะกันจุดสุดท้ายที่เกาะหมา ชาวเลพาเรามาจุดที่น้ำนิ่ง คลื่นลมสงบ น้ำใสแจ๋ว น่าลอยตัวเล่นมาก พี่ชาวเลให้เราดำเล่นกันแถวนี้ ส่วนพวกเค้าขอพักทานข้าวกลางวันก่อน เกาะหมา อยู่นอกเขตอุทยานฯ เป็นเขตที่จับสัตว์น้ำได้ พี่นน บอกให้เด็กๆลงหาหอยงมหอยดู จุดนี้ ปะกาารังหนาแน่น ส่วนมากเป็นปะการังลายดอกไม้ ดอกไม้ทะเลเยอะ น้องแซนด์ดำตามหานีโม่ต่อ เกาะนี้แม้ว่าจะมีดอกไม้ทะเลเยอะ แต่นีโม่มีไม่กี่ตัว ส่วนมากเป็นการ์ตูนอินเดียแดง ส่วน เซน ซัน ตามหาหอยอยู่ร่วม ครึ่งชั่วโมง ไม่เจอสักตัว พี่นน ทานข้าวเสร็จเลยต้องลงมาช่วย แป๊ปเดียวได้ทั้ง หอยมะระ หอยชักตีนยักษ์ หอยนมสาว หอยมุกต์ เซนเล่าให้ฟังว่ามันดูยาก จากด้านบน ส่วนมากมีสาหร่ายคลุม หรืออะไรทับอยู่ ดูไม่ออกว่าเป็นหอย มีตัวนึงเซนงมขึ้นมา พี่นน เห็นให้ทิ้งไปแทบไม่ทัน เพราะเป็นหอยเต้าปูน มีพิษร้ายแรง

หอยทะเล เกาะหมา

ต่อมาเจ้าซันโดนแตนหรือแมงกะพรุนไม่แน่ใจที่หน้า ปวดแสบปวดร้อน ปากบวมตุ๋ย พวกเราเลยต้องกลับฝั่งก่อนเวลา พาซันไปหาหมอ หมอให้ทาน้ำส้มสายชู เสียดายที่เราไม่มีติดไป ไปทะเลหลังๆ เจอพวกแตนทะเลบ่อยมาก ไม่รู้ว่าเพราะสภาพน้ำเปลี่ยนไปหรือเพราะอะไร แต่ก่อนผมไปเที่ยวทะเล นานๆจะเจอแตนซะที เดี๋ยวนี้เจอแทบทุกครั้ง แนะนำว่าควรติดน้ำส้มสายชู ไว้ใช้ล้างพิษ และควรติดน้ำมันมะพร้าวไว้ทาก่อนลงทะเล พอช่วยได้ โอกาสโดนแตนทะเลจะน้อยลง

ตอนเย็น-ค่ำ เรายังมีโปรแกรม แพลงตอนเรืองแสงต่อ พี่นน พาเราไป Sand bank กลางทะเล ใกล้เกาะสน เกาะลันตาน้อย ตอนแรกว่าจะถ่ายรูป ยืนบน sand bank กลางทะเล เท่ๆ ให้เห็นว่าอยู่กลางทะเล แต่ Sand bank ใหญ่ มหึมามาก ใหญ่พอๆกับเกาะเล็กๆเลย หามุมถ้าให้เห็นว่าเป็น Sand Bank กลางทะเลไม่ได้ และทรายขาวละเอียดมาก เดินแล้ว เท้าจมลงไปเลย ดังเอี๊ยด ตั้งแต่เที่ยวทะเลมาทั่วไทย เคยเจอทรายละเอียดขนาดนี้ครั้งเดียวที่เกาะสิมิลัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง วิวทิวทัศน์แถวนี้แปลกตาดี ดูวิเวิก วังเวง สันโดษ สงบ บริเวณนี้มีแต่พวกเรา ชาวเลบอกว่า พวกเขาพามาแค่วันละกลุ่มเดียวเท่านั้น และมาได้เฉพาะคืนเดือนมืด ข้างแรมเท่านั้น แรม 3 ถึง แรม 15 ค่ำ พวกเราถ่ายรูปเล่นกัน จนอาทิตย์ตก ก็ทานข้าว มีปลากะพงแดง สลิด หมึก กุ้ง หอยที่จับได้มาทำซาชิมิ

กินกันจนอิ่ม ฟ้ามืดสนิท สนธยาดาราศาสตร์ เราก็รอดูแพลงตอนเรืองแสง (Bioluminescence) แต่เห็นน้อยมาก ตอนแรกคิดว่าจะเขียวไปทั้งทะเล พี่นนว่า คิดว่าเพราะคลื่นแรง และฟ้าไม่มืดเท่าที่ควร เซนใช้เสื้อตัวเองตักน้ำทะเล เสื้อก็มีแสงวิบวับ เด็กๆสนุกกันใหญ่ แต่ผมเฉยๆ ผมเคยไปเที่ยวเกาะไห ทะเลตรัง ยังเห็นเยอะกว่านี้มาก คลื่นซัดมาทีเขียววิบวับไปหมด 

Sand Bank มหึมา

วันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางกลับกันสายๆ ตามแผน ผมจะขับรถรวดเดียว เกือบ 900 กิโล ถึงบ้านเลย เราแวะทานข้าวกลางวันกันที่ หอมเคย ชุมพร เด็กๆบ่นกันระงมว่า เดินทางไกลมาก นั่งรถนานมาก เมื่อยมากกก บลาๆๆ ระหว่างขับรถกลับฟังเพลงเพลินๆ นั่งนึกถึงความสวยงามของธรรมชาติ ทีเราเพิ่งพบเจอมา ปะการังอ่อนสีชมพูกอนั้น ซีแฟนที่สวยราวกับใครมาจัดสวนดอกไม้ไว้ตรงนี้ ฉลามตัวโตที่เกาะบิดะ ฝูงปลามากมายแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นที่หินบิดะ พอถึงบ้านเวลา 4 ทุ่มกว่า ออกจากเกาะประมาณ 9 โมง เดินทางรวมกว่า 13 ชั่วโมง แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าไกลเลย เหมือนที่เคยมีคนกล่าวไว้

“ที่ๆเราอยากไป ไกลแค่ไหนก็เหมือนใกล้ ส่วนที่ๆเราไม่อยากไป ใกล้แค่ไหนก็เหมือนไกล”

สำหรับผมแล้ว เกาะลันตาใกล้นิดเดียว…….