เรียน Freediving
เรียน Freediving อย่างปลอดภัยและผ่อนคลาย
CALM เปิดสอนหลักสูตร Freediving เรียนรู้ หลักการพื้นฐาน และเทคนิคในการดำน้ำตัวเปล่า หรือที่เรียกว่า ฟรีไดฟ์ อย่างปลอดภัย และผ่อนคลาย ความปลอดภัยของผู้เรียนเป็นความสำคัญอันดับแรก เราจึงเปิดสอนการเรียนแบบ Private Class ตัวต่อตัว หรือกลุ่มย่อย จำนวนไม่เกิน 3 คน เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ผู้สอนสามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิด ผู้เรียนจะได้เรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การเตรียมลมหายใจ การกลั้นหายใจ การมุดน้ำ ที่ถูกต้อง
หลักสูตรของ CALM มี 3 แบบ ได้แก่ Try Freediving, Basic Freediving และ Pool Freediving
ทดลองเรียน FREEDIVING (TRY)
หลักสูตรสั้น สำหรับการทดลองเรียนฟรีไดฟ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจว่า การเรียน Freediving เหมาะกับตัวเองหรือเปล่า แต่อยากทดลองศึกษาดู ระยะเวลาเรียนภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ครึ่งวัน (3-4 ชั่วโมง) เนื้อหากระชับ เข้าใจง่า่ย เน้นพื้นฐาน และจุดสำคัญในการ Freedive อย่างปลอดภัย
Try freediving
เรียน Freediving พื้นฐาน (Basic Freediver)
คอร์สฟรีไดฟ์พื้นฐาน Basic Freediving หรือชื่อใหม่ Basic Freediver หลักสูตรยอดนิยม เนื้อหา หลักการพื้นฐาน ครบถ้วน สามารถต่อยอดเรียนหลักสูตรที่สูงขึ้น อย่าง Pool Freediver, Level 1 (Freediver) ได้โดยง่าย เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการฟรีไดฟ์ อย่างถูกต้องและปลอดภัย การหายใจ การมุดน้ำ (Duckdive) การตีฟิน การลอยตัวแบบเป็นกลาง (Set Neutral buoyancy) การกู้ภัยที่ผิวน้ำ (Surface black out rescue) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดำน้ำในระดับความลึก 3-5 เมตร ระยะเวลาเรียน ภาคทฤษฎี และภาคสระ 1 วัน
Basic freediving
เรียน FREEDIVING สระ (Pool Freediver)
หลักสูตรเข้มข้ม 2 วัน เนื้อหาแน่น เรียนคล้าย Basic Freediver เพิ่มเติม Arm only Dynamic, Dynamic black out rescue, Deepwater black out rescue, Constant Weight เรียนรู้ภายในสระ หลักการที่ถูกต้องและปลอดภัยในการฟรีไดฟ์ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เนื้อหาเหมือน Level 1 ทุกอย่าง สามารถ upgrade เป็น Freediving Level 1 (หรือ ชื่อใหม่ Freediver) ได้เพียงออกสอบทำ requirement ภาคทะเล
พิเศษ !! ฝึกทักษะ สำหรับ การเตรียมสอบภาคทะเล Level 1 (Freediver) ทั้งหมด Constant Weight, Arm-Only Ascend, No-Mask ascend, Deepwater Blackout Rescue
Pool freediving
ประสบการณ์เรียน Freediving
ขอเล่าประสบการณ์การเรียน Freediving ซักเล็กน้อย เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจ หรือกำลังหาข้อมูลอยู่ว่า จำเป็นต้องเรียนมั้ย? ควรเรียนทีไหน? เรียนคอร์สไหนดี? ผมในช่วงหนุ่มๆ เป็นคนชอบเที่ยวทะเลมาก ตระเวณ ตะลอนเที่ยวทั่วไทย เกาะไหน ใครว่าสวยว่าดี ก็ไปชม ไม่ว่าจะเป็น หมู่เกาะมัน เกาะทะลุ เกาะรัง เกาะหวาย เกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะง่าม เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหินซ้อน หมู่เกาะสิมิลันฯลฯ แต่มีอยู่เกาะนึง ที่ผมชอบเป็นพิเศษ ผมจะหาโอกาสไปอย่างน้อยปีละครั้ง ต่อเนื่องร่วมเกือบสิบปี เกาะนั้นก็คือ หมู่เกาะสุรินทร์ ผมยังจำได้ดีถึงดงปะการังเขากวางสีฟ้า กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่อ่าวจาก และเกาะสตอร์ก (ปัจจุบัน ปะการังเขากวางฟอกขาว ตายไปเกือบหมดแล้ว) ฉลามเสือดาวตัวนั้นที่ตอรินลา การ์ตูนส้มขาวนับร้อยที่อ่าวช่องขาด (ปัจจุบันไม่มีแล้ว เพราะสึนามิซัดหายไปหมดแล้วทั้งปะการังและปลาการ์ตูน)
ที่หมู่เกาะสุรินทร์ เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มอยากลองดำน้ำแบบ freedive ดู เพราะผมเห็น พี่ๆคนเรือ ชาวมอร์แกน กล้าทะเล มุดน้ำ ดำลงไปได้ลึก 5-10 เมตร แบบสบายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย และอยู่ใต้น้ำได้นานเป็นนาทีๆ ดูแล้วราวกับว่า พวกเขามีพลังพิเศษบางอย่าง ผมเลยลองพยายามเองบ้าง แต่ดำได้แค่ 2-3 เมตร ก็เจ็บหูมาก ลงลึกกว่านั้นไม่ได้ เคยลอง หาข้อมูลเรื่องการเคลียร์หูเอง พยายามหัดเองแต่ก็ทำไม่ได้สักที เลยต้องยกเลิก ดำแบบ snorkel ต่อไป
กาลเวลาผ่านไปเร็วราวติดปีก หลายปีต่อมา ผมและครอบครัว ไปเที่ยวเกาะเต่ากัน ระหว่างที่นั่งเรือดำน้ำรอบเกาะ พี่ๆคนเรือบางคนก็ดำน้ำแบบ ฟรีไดฟ์ได้ ลูกชายคนโตเห็นเข้า ร้องอยากเรียนทันที ขอเรียนและรบเร้าให้หาที่เรียนให้ ผมก็เลยต้องหาข้อมูล หาครู ปรากฎว่า ถ้าอยากเรียน Freediving level 1 หรือ ปัจจุบันเรียกว่า Freediver ต้องมีอายุขั้นต่ำ 12 ปี ขึ้นไป ตอนนั้น ลูกชายผมเพิ่ง 10 ขวบ เลยต้องรอไปก่อน 2 ปีต่อมา ลูกชายไม่ลืม ทวงถามว่าเรียนได้ยัง ผมเลยต้องไปหาข้อมูลกันใหม่
จะเรียนสถาบันไหนดีล่ะ เยอะแยะไปหมดทั้ง SSI, PADI, AIDA, Molchanovs ครูก็มีหลายท่านมากๆ เลือกไม่ถูก ผมเลยลองโทรสอบถาม ไปที่ครูแต่ละท่าน กลายเป็นว่า ครูส่วนมากรับสอนอายุ 15 ขึ้นไป เหลือ ครูแค่ 2 ท่านที่รับสอนเด็กอายุ 12 ผมลองเปรียบเทียบแล้ว ทั้งคู่เป็นครูสถาบัน SSI เหมือนกัน ต่างกันที่เวลาเรียน ครูท่านนึงสอน 1 วันเต็ม อีกท่านสอน 1 วันครึ่ง ผมเลยเลือกครูท่านที่สอน 1 วันครึ่ง คิดว่าเนื้อหาน่าจะครบถ้วนกว่า และอีกปัจจัยที่ผมเลือกเรียนกับครูท่านนี้ คือ ถ่ายรูปสวยมากกก
จากประสบการณ์ที่ได้เรียน ได้เจอ ครูหลายๆสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น SSI, PADI, RAID ผมพบว่า ขึ้นชื่อว่าครู ไม่ว่าจะจากสถาบันไหน ทักษะการดำน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากทั้งนั้น ดังนั้น เราจะเลือกครูคนไหน คงขึ้นกับ เรื่องถูกชะตา หรือทัศนคติเข้ากันได้มั้ย ครูดูแลทั่วถึง มีเวลาดูแล ใส่ใจมั้ยมากกว่า เมื่อเลือกครู สถาบันได้แล้ว ก็คุยเรื่องรายละเอียด วันเวลา สถานที่เรียน เราเรียน Freediving กันที่ สระ Odd dive ครูแนะนำให้เราเรียน Pool Freediving ไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสไปออกทริปทะเล upgrade เป็น Level 1 ผมและลูกชายคนโตลงเรียน Pool ส่วนลูกอีกคนที่เพิ่งอายุ 10 ขวบ ลงเรียนเป็น Basic Freediving
ถึงวันเรียนมีนักเรียนทั้งชั้น รวม 10 คน มีเด็กแค่ 2 คน คือลูกผมนั่นเอง ที่เหลือเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด ครูเริ่มต้นด้วยการสอนทฤษฎี เปิด presentatiion ให้ดู สอนเรื่องการเลือกอุปกรณ์ พวก หน้ากาก ท่อสน็อกเกิ้ล ฟิน หลังจากนั้น ก็เรียนกันเรื่อง พวกเกี่ยวกับ กายวิภาค ร่างกายคน, การตอบสนองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อดำลงไปในน้ำ (Mammalian Dive Reflex: MDR) เรียนเทคนิคการหายใจแบบ Freediver และครูก็ให้นักเรียนลองกลั้นหายใจกัน จำได้ว่า น่าจะเริ่มที่ 45 หรือ 50 วินาที รอบแรกผมทำได้ไม่มีปัญหา รอบถัดมาเพิ่มขึ้น 10 วินาที น่าจะเป็น 1 นาที และรอบที่ 3 กลั้น 1.15 นาที ซึ่งทำกันได้ทั้งห้อง ยกเว้น ผม ผมล่ะอ๊ายอาย
หลังจากเรียนภาคทฤษฎีจนครบแล้ว เราก็พักทานอาหารกลางวันกัน ตอนบ่าย เริ่มฝึกภาคสระ มีครูผู้ช่วยมาช่วยดูแลอีก 2 คน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าทำไมใช้ครูเยอะจัง มารู้ทีหลังตอนเรียนครููว่า SSI มีกฎ กำหนดจำนวนครูต่อนักเรียน เพื่อให้ครูดูแลนักเรียนได้ทั่วถึงและปลอดภัย ถ้านักเรียนมากกว่าที่กำหนดต้องมีครูผู้ช่วย สระที่นี่ฝั่งด้านตื้น ยังลึกถึง 3 เมตร ดูแล้ว ลึกมาก น่ากลัวมาก ครูเริ่มต้นโดยให้เราฝึกตึฟิน การตีฟิน ต้องตีขาไปทั้งขาใช้กล้ามเนื้อสะโพกเป็นหลัก หลังจากฝึกตึฟินสักพัก ครูก็สาธิตการมุดน้ำ (Duck Dive) ให้ดู ครูสามารถมุดไปแตะพื้นสระได้โดยยังไม่ต้องตึขาสักครั้ง ดูแล้วน่าอัศจรรย์มาก ผมและเด็กๆ ลองดูบ้าง เด็กๆเคลียร์หูกันได้สบายมาก ผมเคลียร์ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีก็ออกข้างเดียว แต่สุดท้ายเราก็ลงกันไปที่ลึก 3 เมตรได้ แปลกประหลาดมาก วินาทีที่มือผมแตะพื้นที่ความลึก 3 เมตร สระดูสว่างขึ้น น้ำดูตื้นขึ้นทันที เอ 3 เมตร ไม่เห็นลึกเท่าไหร่ ตื้นนิดเดียว
หลังจากฝึกบริเวณที่ตื้น 3 เมตรพักนึงแล้ว เราก็ขยับมาฝึกกันต่อตรงที่ลึก 5 เมตร เด็กๆอยากลองว่า จะลง 5 เมตรกันได้ไหม ลูกผมทั้งสองคน ลงได้สบายมาก เหมือนเดิม พอมาฝั่ง 5 เมตร มองลงไป มันลึกมากก มืดมาก น่ากลัวเหลือเกิน ผมพยายามมุดน้ำลงไปบ้าง แต่พอลึกเกิน 3 เมตร เจ็บหู เคลียร์หูไม่ออก ต้องกลับขึ้นมาที่ผิวน้ำ ลองอยู่หลายรอบ จนสุดท้าย ก็เอามือไปเตะพื้นสระลึก 5 เมตรได้ แปลกแต่จริง พอมือแตะพื้นสระปุ๊ป ความลึก 5 เมตร ดูตื้นมากขึ้นมาทันที การเรียน Freediving ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจจริงๆ
วันรุ่งขึ้น เรา (เฉพาะผมและลูกคนโต ส่วนคนกลาง 10 ขวบจบ Basic แล้ว) มาเรียนกันต่อ ตอนบ่ายลงน้ำเลย ครูให้ทำ Requirement Dynamic Apnea 30 เมตร คิดในใจว่าจะไหวเหรอเนี่ย สระที่บ้าน 25 เมตรยังไม่ถึงเลย ถึงจะมีฟินช่วย 30 เมตรก็ยากน่าดูนะ ตอนทำ Dynamic พยายามทำใจให้สงบ ไม่เร่งจังหวะตีเท้า จนมั่นใจว่า น่าจะเกิน 30 เมตรแล้วแน่ เลยขึ้นสู่ผิวน้ำ เพิ่งเห็นว่าอีกนิดเดียวจะถึงขอบสระแล้ว (สระยาว 50 เมตร) ครูดูระยะให้ บอกว่า 40 เมตรกว่าๆ แปลกใจและดีใจมาก ส่วนตัว Dynamic Apnea ง่ายกว่า Static Apnea เพราะมีอะไรให้จดจ่อ ให้ทำ ถึงตาลูกคนโต เค้าทำได้ 30 กว่าเมตร
หลังจากทำ Requirement ผ่านแล้ว ครูสาธิตการฝึกกู้ภัย คนที่ Black out ใต้น้ำ ครูจะสวมบทบาทเป็น ผู้ประสบภัย เราต้องมุดน้ำ ลงไปช่วยขึ้นมา โดยใช้สองมือประคองศีรษะ ชูมือให้สุด หลังจากขึ้นสู่ผิวน้ำและทำการ Recovery Breath แล้ว เราต้องถอดหน้ากากออก ทำการ Blow (เป่าลมทั่วหน้า) Tap (แตะหน้าเบาๆ) Talk (เรียกชื่อให้ได้สติ) กรณีที่ผู้ประสบภัยยังไม่ได้สติ เป่าปาก (ไม่ได้เป่าจริงๆเป่าไปที่มือแทน) Deepwater Blackout Rescue น่าจะเป็นทักษะสุดท้ายที่เราได้เรียนกัน และเป็นทักษะที่ผมคิดว่า ยากที่สุดด้วย
หลังจากเรียน Freedving หลักสูตร Pool จบแล้ว เราสองพ่อลูก ก้ออยากสอบ Level 1 ครูแจ้งว่า ถ้าจะออกสอบ Level 1 ต้องมาเก็บ skill ฝึกทักษะเพิ่ม เราสองคนก็นัดครูไปฝึกเพิ่ม วันที่ไปฝึก มีเราสองคน กับนักเรียนอีก 1 คน ครูสอนทักษะทั้งหมดที่ต้องใช้สอบ ได้แก่ Constant Weight, Arm-only Ascend, No Mask Ascend, Deepwater Rescue วันที่ซ้อมเป็นวันทำงาน ไม่มีคนเลย มีแต่พวกเรา 4 คน พอนักเรียน น้อย การเรียนการสอนดีกว่า ตอนนักเรียนเยอะมาก เพราะครูดูแลเราได้อย่างใกล้ชิดทั่วถึง มีอะไรถาม หรือ feedback ได้ทันที
หลังจากเรียนจบ ผมและลูกๆ ชอบไปฝึกซ้อมกันที่สระมหิดลมากกว่า เพราะคนน้อยกว่า และน้ำไม่เย็น (ทีสระ odd dive คนเยอะมากวันเสาร์ อาทิตย์ และน้ำหนาวมากก) ไว้จะเขียนเรื่องสระว่ายน้ำแยกออกมาอีกที ว่าแต่ละที่ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร